กระ (Freckles)
กระ (Freckles) เป็นหนึ่งในปัญหาผิวที่หลายคนพบเจอ โดยมักจะเกิดขึ้นจากการสะสมของเม็ดสีในผิวหนัง ซึ่งในบางกรณีอาจทำให้ผิวหน้าหรือผิวกายดูไม่สดใสและไม่เรียบเนียน การทำความเข้าใจเกี่ยวกับกระและการป้องกันจะช่วยให้สามารถดูแลผิวได้ดียิ่งขึ้น
ประเภทของกระ:
กระสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ กระสี และ กระเนื้อ ซึ่งมีลักษณะและสาเหตุที่แตกต่างกันไป
1. กระสี (Pigmented Freckles)
กระสีคือกระที่มีลักษณะเป็นจุดเล็กๆ บนผิวที่มักจะมีสีเข้มกว่าผิวบริเวณรอบข้าง เช่น สีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลอมแดง กระสีสามารถแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะหลัก:
1.1 กระตื้น (Superficial Freckles)
กระตื้นจะเป็นจุดสีคล้ำที่เกิดขึ้นที่ชั้นผิวหนังด้านบนหรือชั้นหนังกำพร้า ซึ่งเม็ดสีเมลานินจะกระจายตัวอยู่ไม่ลึกนัก โดยสามารถแบ่งออกเป็น:
1.1.1 กระในเด็กหรือกระจากแสงแดด (Ephelides): กระชนิดนี้มักพบในเด็กหรือผู้ที่มีผิวขาว มีลักษณะเป็นจุดกลมเล็กๆ ที่มีสีน้ำตาลอ่อน มักพบตามบริเวณที่ถูกแสงแดด เช่น ใบหน้า, แขน หรือหลังมือ
1.1.2 กระแดด (Solar Lentigo): กระชนิดนี้มักเกิดในผู้ใหญ่ และจะมีลักษณะเป็นจุดด่างดำที่เกิดจากการสะสมของเม็ดสีเมลานินมากกว่าปกติ โดยสีอาจมีความแตกต่างจากสีผิว เช่น น้ำตาลอ่อนหรือดำ มักเกิดในบริเวณที่ได้รับแสงแดดบ่อยๆ เช่น หน้าผาก, หน้า, แขน, ไหล่ หรือบริเวณที่มีผมบางอย่างในกรณีของคนที่ศีรษะล้าน
1.2 กระลึก (Deep Freckles)
กระลึกจะเกิดขึ้นในชั้นผิวที่ลึกกว่ากระตื้น โดยเม็ดสีเมลานินจะสะสมอยู่ในชั้นหนังกำพร้าส่วนล่างและใกล้ชั้นหนังแท้ ซึ่งมักจะมีสีเทา, น้ำตาลอมเขียว หรือสีน้ำเงินออกไป
1.2.1 กระลึกมักจะพบในผู้ที่มีผิวเหลือง (ผิวเอเชีย) โดยจะมีลักษณะเป็นจุดหรือแผ่นสีน้ำตาลอมน้ำเงิน
1.2.2 มักพบในบริเวณโหนกแก้ม, ดั้งจมูก และขมับทั้งสองข้าง
กระลึกสามารถสังเกตเห็นได้ตั้งแต่เด็ก แต่จะชัดเจนมากขึ้นในช่วงวัย 15-30 ปี
2. กระเนื้อ (Seborrheic Keratosis)
กระเนื้อเกิดจากการเจริญเติบโตมากเกินไปของเซลล์ผิวหนังในชั้นหนังกำพร้า มักเกิดจากปัจจัยหลายๆ อย่างรวมกัน เช่น แสงแดด, การแก่ชรา, และพันธุกรรม
2.1 ลักษณะของกระเนื้อมักจะเป็นตุ่มนูนขึ้นเล็กๆ ที่มีสีน้ำตาลหรือดำ
2.2 บางครั้งอาจพบได้จากโรคทางพันธุกรรม เช่น เบาหวาน, โรคอ้วน หรือฮอร์โมน
2.3 หากกระเนื้อโตเร็ว, มีสีดำเข้ม หรือมีเลือดออก ควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจมีลักษณะคล้ายโรคมะเร็งผิวหนัง
การป้องกันกระ
แม้กระจะไม่ใช่ปัญหาที่อันตรายถึงชีวิต แต่มันอาจทำให้ผิวพรรณของเราดูหมองคล้ำและเสียความมั่นใจได้ ดังนั้นการป้องกันกระจึงเป็นสิ่งสำคัญ:
1.ทาครีมกันแดด: ทาครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน เพื่อป้องกันการเกิดกระจากแสงแดด
2.หลีกเลี่ยงการออกแดดในช่วงเวลาที่ร้อน: โดยเฉพาะช่วงเวลา 10.00-16.00 น.
3.ใส่เสื้อผ้าป้องกันแดด: สวมหมวก, แว่นกันแดด, และเสื้อผ้าที่ป้องกันการโดนแดด
4.ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว: ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดเลือนจุดด่างดำและบำรุงผิวให้กระจ่างใส
การรักษากระ
หากกระเริ่มก่อให้เกิดความกังวลหรือหากกระมีลักษณะเปลี่ยนแปลงไป (เช่น โตขึ้น หรือมีสีเข้มขึ้น) ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและรับคำแนะนำในการรักษา:
1.การใช้ครีมลดกระ: ครีมที่มีส่วนผสมของวิตามิน C, AHA หรือสารสกัดจากธรรมชาติบางตัวอาจช่วยลดเลือนกระได้
2.การรักษาด้วยเลเซอร์: ใช้เลเซอร์เพื่อกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวและลดเม็ดสีที่เกิดขึ้น
3.การผลัดเซลล์ผิว (Chemical Peels): ใช้สารเคมีช่วยผลัดเซลล์ผิวหนังและลดการสะสมของเม็ดสี
โดยสรุป, กระ เป็นปัญหาผิวที่สามารถพบได้ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่ ซึ่งมีทั้งกระสีและกระเนื้อที่เกิดจากปัจจัยต่างๆ ทั้งแสงแดดและการเจริญเติบโตของเซลล์ผิวหนัง การดูแลและป้องกันผิวด้วยการทาครีมกันแดดและใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจะช่วยลดการเกิดกระและทำให้ผิวดูสดใสยิ่งขึ้น.

