เสริมผิวให้แข็งแรง เพื่อรับมลพิษ
Skin Tips: เสริมผิวให้แข็งแรงเพื่อรับมลพิษ
มลพิษรอบตัวเรามีอยู่มากทั้งจากธรรมชาติและจากฝีมือมนุษย์ มลพิษโดยธรรมชาติ เช่น ฝุ่นละอองจากลมพายุ ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว ไฟไหม้ป่า เป็นอันตรายต่อมนุษย์น้อยมากเพราะแหล่งกำเนิดอยู่ไกล และปริมาณที่เข้าสู่สภาพแวดล้อมของเรามีน้อย แต่มลพิษที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์เราเอง เช่น ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ จากโรงงานอุตสาหกรรม การระเหยของก๊าซหรือสารบางชนิด ควันบุหรี่ ฯลฯ นั้นยากที่จะหลีกเลี่ยง ผิวหนังเราจึงต้องทำงานหนักเพื่อเป็นปราการด่านแรกๆ ที่ต้านมลพิษต่างๆ ไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย
สร้างผิวให้แข็งแรงต่อต้านมลพิษ ผิวที่มีสุขภาพดีย่อมสามารถปกป้องร่างกายจากสิ่งแวดล้อมได้มากกว่า ซึ่งก็รวมถึงเส้นผมที่ช่วยปกป้องหนังศีรษะ และเล็บที่ช่วยปกป้องปลายนิ้วของเราด้วย เพื่อให้ผิวสามารถเผชิญหน้ากับมลพิษต่างๆ ได้ดีขึ้น ควรเสริมสร้างสุขภาพผิวให้แข็งแรงครับ สร้างความชุ่มชื้นให้ผิว ผิวแห้งทำให้เกิดการระคายเคืองได้ง่าย ซึ่งนอกจากทำให้สารพิษและเชื้อโรคเข้าไปในร่างกายได้ง่ายแล้ว ยังทำให้ผิวไวต่อการแพ้อีกด้วย ควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำบ่อยๆ อาบน้ำร้อน หรือแช่นานๆ การใช้สบู่ที่มีฤทธิ์กรด-ด่างรุนแรง การขัดถูผิวหนังบ่อยๆ จะทำให้ผิวขาวใส แต่ที่จริงแล้วเป็นการทำลายชั้นขี้ไคลซึ่งเป็นชั้นผิวพิเศษที่ถูกสร้างมาเพื่อปกป้องร่างกาย ดังนั้นพึงระลึกไว้เสมอว่า ผิวหนังชั้นนอกสุดไม่ใช่ขี้ไคลที่น่ารังเกียจ แต่เป็นบอดี้การ์ดที่คอยปกป้องผิวคุณต่างหาก ปกป้องผิวจากแสงแดด รังสีอัลตราไวโอเลตเป็นตัวการทำให้ผิวอ่อนแอโดยทำอันตรายต่อเซลล์ของร่างกาย
เนื่องจากกรดอะมิโนซึ่งอยู่โปรตีนในร่างกายดูดกลืนรังสีนี้ได้ดี และทำให้เกิดสารพิษในร่างกายขึ้นหลายชนิดที่เป็นต้นเหตุของมะเร็งผิวหนัง อาการผิดปกติกับผิวหนังที่เกิดจากแสงแดดในระยะสั้น ได้แก่ ผิวไหม้เกรียม หากได้รับแสงแดดที่ร้อนแรงนาน 9-12 ชั่วโมง จะรู้สึกคันอาจพองเป็นตุ่มเล็ก มีน้ำใส ปวด และผิวหนังอักเสบติดเชื้อ ส่วนอาการในระยะยาวคือ สีผิวไม่สม่ำเสมอ เป็นกระดำ-ขาว ฝ้า เมื่อผิวหนังถูกทำลายนานๆจะหยาบกระด้าง เกิดรอยเหี่ยวย่นก่อนวัยและอาจเป็นเนื้องอกหรือมะเร็งผิวหนังจึงไม่ควรให้ผิวถูกแสงแดดโดยตรง หมั่นทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันสวมเสื้อผ้าแขน / ขายาว ใสหมวก กางร่ม และหลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วงเที่ยงถึงบ่ายซึ่งเป็นเวลาแดดจัดเลี่ยงการสัมผัสกับมลพิษโดยตรง หากการทำงานหรือการเดินทางของคุณต้องสัมผัสกับสารมลพิษหรือสารเคมี ก็ควรสวมใส่อุปกรณ์ป้องกัน เช่น ใส่เสื้อผ้าแขน / ขายาว สวมถุงมือและรองเท้าที่เหมาะสม ก็จะพอปกป้องผิวได้บ้างครับส่วนสารพิษจากเครื่องใช้ในสำนักงาน ทั้งพริ้นเตอร์ และเครื่องถ่ายเอกสาร อาจหลีกเลี่ยงโดยจัดวางที่นั่งให้เหมาะสม หรืออาจนำต้นไม้มาวางเพื่อช่วยดูดสารพิษก็ดีครับ
เลี่ยงการสัมผัสน้ำฝนในเมืองหรือในเขตอุตสาหกรรม สารมลพิษทางอากาศที่ปล่อยออกมาเมื่อรวมกับน้ำฝนแล้วทำให้น้ำฝนมีความเป็นอันตรายต่อผิว ลองคิดดูสิว่าขนาดสิ่งก่อสร้างยังสึกกร่อนและป่าไม้ก็ยังถูกฝนกรดทำลายได้แล้วผิวเราละจะเป็นอันตรายแค่ไหน นอกจากนี้เมื่อมีกรดเพิ่มขึ้นในแหล่งน้ำก็จะทำให้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ไม่ได้ เกิดผลกระทบต่อเนื่องกับห่วงโซ่อาหารจึงไม่ควรบริโภคน้ำฝนที่เป็นกรดนะครับ
ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางต่อต้านมลพิษ เครื่องสำอางช่วยทำความสะอาดผิวจากมลภาวะและบำรุงผิวให้มีความชุ่มชื้น ปัจจุบันมีเครื่องสำอางประเภท Antipollution เพื่อต่อต้านมลพิษโดยเฉพาะ ควรทดสอบว่าแพ้ หรือไม่ก่อนซื้อมาใช้โดยหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ผสมน้ำหอมด้วย เพราะจะทำให้ผิวระคายเคืองได้ง่าย
รับประทานอาหารและดื่มน้ำที่สะอาด เน้นผักและผลไม้ที่มีธาตุซีลีเนียม (เช่น เห็ด ปลาทูน่า และแป้งข้าวสาลี )เบต้าแคโรทีน (เช่น หัวผักกาดแดง พวกกำหล่ำ และผักโขม) และวิตามินซี (ส้มและมะนาว) เพราะนอกจากช่วยป้องกันโรคมะเร็งผิวหนังได้แล้ว ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยให้ผิวสดใสอีกด้วยควรดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ เพราะน้ำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญมากสำหรับอวัยวะและเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย หากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอก็ย่อมส่งผลกระทบถึงการทำงานต่างๆ ของร่างกาย เซลล์ผิวก็จะแห้งเหี่ยว ทำให้ผิวอยู่ในสภาพเปราะบาง จึงควรดื่มน้ำเปล่าโดยการจิบบ่อยๆ ทั้งวันอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้วออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายเป็นประจำช่วยให้ผิวแข็งแรงเพราะช่วยเพิ่มระดับออกซิเจนในเนื้อเยื่อให้สูงขึ้น และกีฬาบางอย่างยังช่วยลดระดับความเครียด ทำให้สุขภาพดีทั้งกายและใจพักผ่อนให้เพียงพอ พยายามนอนหลับเวลาเดียวกันทุกคืนเพื่อให้ร่างกายปรับนาฬิกาชีวภาพได้เหมาะสม
ร่างกายสัมผัสสารมลพิษได้อย่างไร
สารมลพิษสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ 3 ทาง คือการหายใจ ทางเดินอาหาร และทางผิวหนัง เมื่อร่างกายได้รับสารพิษไม่ว่างจากทางใดทางหนึ่งแล้ว ย่อมส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม และหากได้รับประจำเป็นเวลานานๆ อาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้เกิดมะเร็งหรือโรคอื่น ๆ ตามมาได้
มลพิษจะถูกดูดซึมผ่านทางผิวหนังได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ดังนี้
- คุณสมบัติของสารมลพิษ ถ้าเป็นสารที่มีน้ำหนักโมเลกุลน้อยหรือละลายในไขมันได้ดีจะถูกดูดซึมผ่านผิวหนังได้ง่าย
- พื้นที่ผิวของผิวหนังที่สัมผัส ยิ่งสัมผัสเป็นบริเวณกว้างมาก สารพิษก็จะถูกดูดซึมได้มาก
- ตำแหน่งของผิวหนังที่สัมผัส ถ้าเป็นบริเวณที่ผิวหนังบาง เช่น ใบหน้า ขาหนีบ สารมลพิษจะถูกดูดซึมได้มากกว่าบริเวณ
ที่ผิวหนังหนา เช่น หลัง ฝ่ามือหรือฝ่าเท้า
- ผิวหนังที่เป็นแผลถลอก หรือเป็นโรคผิวหนังอักเสบอยู่แล้ว สารมลพิษจะเข้าสู่ร่างกายโดยการดูดซึมผ่านทางผ่านผิวหนังได้เป็นปริมาณมากๆ
- ความเข้มข้นของสารมลพิษบนผิวหนัง ถ้ามีค่าสูงมากก็จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้โดยง่าย
- ความถี่ของผิวหนังในการสัมผัสสารมลพิษ ถ้าสัมผัสบ่อย สารมลพิษก็จะเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น
- เด็กเล็กและคนสูงอายุมีอัตราการดูดซึมของสารมลพิษผ่านผิวหนังสูงกว่าผู้ใหญ่วัยอื่น