Sunscreen (ครีมกันแดด)
1.ทำไมเราต้องใช้ครีมกันแดด
อันตรายจากแสงแดดมีมากกว่าเพียงความหมองคล้ำของผิว สำหรับสาวๆหนุ่มๆที่ปรารถนาอยากมีผิวขาวใส การทาครีมกันแดดคงจะต้องเป็นสิ่งที่เรียกว่า กิจวัตร แต่สำหรับคนที่อาจจะไม่ห่วงเรื่องผิวขาวใสหรือไม่มีเวลาสนใจกับการทาครีมกันแดด ต้องขอแนะนำว่าหากไม่อยากสะสมปัจจัยที่จะทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง หรือโรคผิวหนังไหม้ ก็ลองมองหาครีมกันแดดป้องกันตัวเองจากอันตรายสักนิด
ด้วยว่าในแสงแดดนั้นไม่ได้มีเพียงความร้อนที่ส่งตรงมาสู่ผิวเรา แต่ยังมีแสงที่เรามองไม่เห็นอย่างรังสีอัลตราไวโอเลต หรือยูวี ทั้ง ยูวีเอ และยูวีบี แอบแฝงอยู่ ตัวยูวีเอนั้นไม่อันตรายเท่าไหร่ อาจทำให้เกิดการไหม้เล็กน้อย จะมีผลให้เกิดการหมองคล้ำ หรือ Tanning Effect ส่วนยูวีบีนั้น หากรับในปริมาณที่มากเกินไปก็จะเป็นตัวทำให้ผิวไหม้แสบร้อน ระคายเคือง และแดงจนผิวลอก อันจะส่งผลให้ผิวหนัง เหี่ยว ดูแก่ มีริ้วร้อย กระดำ-กระขาวขึ้นหน้า และ เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง
2.หลักเกณฑ์ในการเลือกซื้อครีมกันแดดให้เหมาะสมกับตนเองเป็นอย่างไร
มาทำความเข้าใจถึงเรื่องประเภทของครีมกันแดดกันก่อน ครีมกันแดดที่วางขายในปัจจุบัน แบ่งเป็น 2 ชนิด ด้วยกัน คือ
1. Physical sunscreen เป็นครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพสูง ป้องกันได้ทั้งแสงอุลตราไวโอเลตเอ(UVA )และอุลตราไวโอเลตบี (UVB ) โดยใช้คุณสมบัติของสารที่เป็นตัวสะท้อนแสง ด้วยสารที่เป็นส่วนประกอบในกันแดดประเภทนี้มีอนุภาคขนาดค่อนข้างใหญ่ ครีมกันแดดกลุ่มนี้จึง เคลือบผิว ไม่ดูดซึมเข้าผิวหนัง ทำให้ดูหน้าขาวเวลาใช้จะดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ (จึงอาจทำให้หน้าขาววอกหากทาในปริมาณมากเกินควร)
2. Chemical sunscreen มีคุณสมบัติการป้องกันแสงแดดเหมือนกันกับประเภทแรก ใช้คุณสมบัติของสารที่ดูดกลืนรังสี โดยสารกลุ่มนี้ปรับปรุงขนาดอนุภาคให้เล็กลง ไม่มีสี จึงช่วยลดข้อเสียเดิมที่ทาแล้วทำให้หน้าขาว แต่สามารถดูดซึมเข้าสู่ผิวหนัง อาจทำให้เกิดการระคายเคืองหลังใช้ได้
การเลือกใช้ครีมกันแดดในแต่ละคนจึงควรพิจารณาจากทั้งปัจจัยเรื่องการระคายเคืองที่จะเกิดขึ้นกับผิว รวมทั้งความชอบส่วนตัวที่บางคนไม่ชอบหน้าขาววอก แต่บางคนรับได้ ก็ลองเลือกให้เหมาะตามความต้องการและสภาพผิวของแต่ละคน
3.อากาศร้อนแบบเมืองไทยควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF เท่าไหร่ เพราะอะไร
เนื่องจากเมืองไทยเป็นเมืองร้อน และนับวันแสงแดดยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูร้อน ดังนั้นการเลือกใช้ครีมกันแดดควรเลือกที่มีค่า SPF ค่อข้างสูง โดยทั่วไปแนะนำให้ใช้ที่มีค่า SPF มากกว่า 30 แต่หากกิจวัตรประจำวันต้องเผชิญแดดมากๆแนะนำให้ลองมองหาที่มีค่า SPF 50 – 60 และ ควรมีค่า PA+++ จึงจะป้องกันได้ทั้ง รังสี ยูวีเอ และยูวีบี
4.ใช้ครีมกันแดดอย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
หลายคนเข้าใจผิดว่าการทาครีมกันแดดแค่ตอนเช้าก่อนออกจากบ้านจะช่วยป้องกันแสงแดดได้ตลอดทั้งวัน แท้ที่จริงแล้ว ควรจะทาซ้ำ ทุก2-3 ชั่วโมงหากออกแดดบ่อย เพราะเหงื่อ อาจพาครีมกันแดดที่ทาให้หลุดลอกออกไป รวมทั้งควรทาครีมกันแดดก่อนออกแดดประมาณ 15-20 นาทีเพื่อประสิทธิภาพที่สูงสุดในการป้องกันแดด แนะนำเพิ่มเติมให้หาตัวช่วยป้องกันแดด วิธีง่ายๆ เช่น การสวมเสื้อผ้าปกปิดแขนขา หรือกางร่มป้องกัน UV เมื่อออกแดดจัด ก็เป็นอีกหนึ่งเกราะกำบังอันตรายจากแสงแดดที่จะมาทำร้ายผิวได้อีกด้วย
5.เครื่องสำอางบางประเภทเช่น เบส รองพื้นและแป้ง มักจะมีการใส่สารกันแดดลงไปด้วย ซึ่งถ้าเราไม่ใช้ครีมกันแดดแต่ใช้เครื่องสำอางดังที่กล่าวมาแล้วนำค่า SPF มาบวกรวมกันจะได้ประสิทธิภาพเหมือนกับทาครีมกันแดดหรือไม่ อย่างไร
สำหรับเครื่องสำอางค์จำพวก เบส รองพื้น และแป้งที่ผสมสารกันแดดลงไปด้วยนั้น ส่วนมากจะผสมสารกันแดดในปริมาณ SPF ที่ไม่สูงมาก ซึ่งอาจจะไม่เพียงพอต่อการป้องกันแสงแดดในเมืองร้อนอย่างเช่นในประเทศไทย (และ ค่า SPF ของเครื่องสำอางค์ที่เขียนไว้บนฉลากอาจหมายถึงปริมาณที่ทาเครื่องสำอางค์ชนิดนั้นเป็นปริมาณที่หนาพอสมควร หากทาบางๆอาจจะไม่ได้ช่วยป้องกันแสงแดดตามค่าที่ระบุไว้บนฉลาก)
ในประเด็นของการรวมค่า SPFของเครื่องสำอางค์แต่ละตัวที่ทาลงบนใบหน้า แท้จริงแล้วไม่สามรถนำค่ามารวมกันได้ จึงควรทาครีมกันแดดไว้เพี่อทำหน้าที่ป้องกันแดดเสู่ผิวโดยเฉพาะ