ทำไมต้องทากันแดด
แสงแดดเป็นสิ่งที่หลายๆคนกลัวและไม่อยากจะสู้กับแดดเวลาต้องออกไปไหนมาไหน วันนี้เรามารู้จักครีมกันแดดกันนะคะ ครีมกันแดด ( sunscreen) แบ่งเป็น 2 ชนิด คือชนิดแรก Physical sunscreen เป็นครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพสูง ป้องกันได้ทั้งแสงอุลตราไวโอเลตเอ(UVA )และอุลตราไวโอเลตบี (UVB ) ใช้คุณสมบัติของสารที่เป็นตัวสะท้อนแสง สารที่เป็นส่วนประกอบมีขนาดค่อนข้างใหญ่ เช่น สารไททาเนียม ไดออกไซด์( Titanium dioxide) และซิงค์ออกไซด์ ( Zinc oxide) ครีมกันแดดกลุ่มนี้จะเคลือบผิว ไม่ดูดซึมเข้าผิวหนัง ทำให้ดูหน้าขาวเวลาใช้จะดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ อีกชนิดหนึ่งคือ Chemical sunscreen เป็นสารกันแดดที่ผลิตขึ้น สามารถป้องกันได้ทั้งแสงอุลตราไวโอเลตเอ(UVA )และอุลตราไวโอเลตบี (UVB ) เช่นกัน ใช้คุณสมบัติของสารที่ดูดกลืนรังสี เช่น พาบา ( PABA) เบนโซฟีโนน( Benzophenone ) แอนทรานิเลต( Anthranilate ) และซินนาเมต ( Cinnamate ) โดยสารกลุ่มนี้ปรับปรุงขนาดอนุภาคให้เล็กลง ไม่มีสี ช่วยลดข้อเสียเดิมที่ทาแล้วทำให้หน้าขาว แต่ดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังอาจทำให้เกิดการระคายเคืองหลังใช้ได้ สิ่งที่สำคัญ คือ ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกๆ เช้าเพราะ ถึงแม้ว่าจะไม่ถูกแสงแดดโดยตรง แต่แสงอุลตราไวโอเลตเอสามารถสะท้อนผ่านกระจกได้ หลีกเลี่ยงแสงแดดตอนกลางวันตั้งแต่ 10.00 น. ถึง 16.00 น. สวมเสื้อผ้าที่มีแขนยาว สวมหมวก และกางร่ม จะช่วยป้องกันแสงอุลตราไวโอเลตได้ค่ะ นอกจากทาครีมกันแดดแล้ว หลังอาบน้ำควรทา moisturizer เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวหนังเป็นประจำทุกวันนะคะ
แต่ในกรณีที่ต้องการทราบว่าเราแพ้ เราจะรู้ได้ไงว่าเราจะแพ้ครีมกันแดด หรือครีมกันแดดยี่ห้อไหนที่ไม่เหมาะกับเรา ให้ลองทาครีมกันแดดบริเวณใต้ท้องแขนทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วสังเกตว่ามีอาการบวม แดงหรือไม่ ถ้าปรากฏอาการดังกล่าวแสดงว่าแพ้สารเคมีชนิดหนึ่ง แต่บางคนอาจจะใช้เวลานานกว่าจะปรากฏอาการแพ้ จึงควรรอดูอาการ 24 - 72 ชั่วโมง ถ้าไม่เกิดอาการดังกล่าว ก็แสดงว่าไม่แพ้ หรือถ้าเกิดอาการควรเลิกใช้กันแดดชั่วคราว และปรึกษาแพทย์นะคะ