มะม่วง อาหารผิวชั้นเลิศ
มะม่วง อาหารผิวชั้นเลิศ
บ้านเรามีมีชื่อเสียงด้านมะม่วงมาช้านาน จนได้สมญานามว่าMango City เพราะคนไทยรับประทานอาหารผลมะม่วงเป็นอาหารคาว อาหารหวาน และขนมขบเคี้ยว เช่น ยำมะม่วง ส้มตำมะม่วง ข้าวเหนียวมะม่วง มะม่วงน้ำปลาหวาน รวมถึงมะม่วงดอง และมะม่วงแช่อิ่มด้วยครับ
คุณประโยชน์ของมะม่วงมีมากมาย การรับประทานผลสดไม่ว่าดิบหรือสุกก็ล้วนมีสรรพคุณการระบายและช่วยการขับถ่าย เพราะเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยอาหาร (fiber)จำนวนมาก แถมน้ำตาลฟรุกโตสในมะม่วงสุกยังช่วยให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า
หลายคนไม่ทราบว่ามะม่วงมีวิตามินซีสูงกว่ามะนาวถึง 3 เท่า จึงนับเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์ในการชะลอความชราได้ดีอีกด้วยนอกจากนั้นในมะม่วงสุกยังมีกรดแอลฟา ไฮยาลูโรนิก( Alpha Hyaluronic Acid ) ซึ่งมีฤทธิ์ในการผลัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ช่วยลดเลือนริ้วรอย คงความอ่อนเยาว์และความชุ่มชื้นที่ผิวหนังได้ดี จึงมักมีคนนำมะม่วงสุกไปปั่นและนำมาพอกหน้า เพื่อช่วยให้ผิวหน้าสดใสได้อีกด้วย แต่วิธีนี้อย่าลืมระวังยางมะม่วงที่อาจปนเปื้อนมาด้วยถ้าทำความสะอาดไม่ดีพอ ซึ่งอาจทำให้ผิวหนังอักเสบได้ครับ
หากสัมผัสยางมะม่วง ควรรีบล้างออกด้วยน้ำสบู่ทันที ห้ามใช้แอลกอฮอล์หรือผ้าผสมแอลกอฮอล์เช็คโดยเด็ดขาดนะครับ เพราะจะยิ่งทำให้เกิดการระคายเคือง อาจเกิดผื่นแพ้สัมผัส (Contact Dermatitis )ซึ่งเป็นอาการผี่นคันที่เกิดจากการสัมผัสสารระคายเคือง หรือสารที่ทำให้เกิดการแพ้ได้ง่าย โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีความผิดปกติทางกรรมพันธุ์เกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ครับ ผื่นแพ้ยางมะม่วงอาจมีลักษณะเป็นผื่นแดง หรือขึ้นเป็นตุ่มน้ำใสเล็กๆ และคันมาก หากเป็นตุ่มพองใหญ่หรือแตกออก อาจเกิดการติดเชื้อได้ ควรไปพบเพื่อให้แพทย์วินิจฉัยและให้ยาทาแก้อักเสบครับ บางคนเมื่อผื่นหายแล้วมีรอยดำหลงเหลืออยู่ แต่ก็จะค่อยๆ หายไปเองครับ
เห็นประโยชน์อย่างนี้ ก็ควรหามะม่วงมารับประทานเป็นประจำบ้าง เหมือนสุภาษิตของฝรั่งที่ว่า รับประทานแอ๊ปเปิ้ลวันละหนึ่งผลจะทำให้เราไม่ต้องไปหาหมอ แต่สำหรับคนไทย รับประทานมะม่วงวันละหนึ่งลูกก็คงจะได้ผลเช่นเดียวกันครับ